ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์มานานแสนนาน แต่ละแห่งก็มีความเชื่อทั้งดีและร้ายในรูปแบบต่าง ๆ กันไป อย่างของไทยเราเชื่อว่าตอนเด็ก ๆ หลายคนคงถูกสอน ตามความเชื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไม่ให้ใส่ชุดดำเยี่ยมคนป่วย ตอนกลางคืนถ้าได้ยินเสียงร้องห้ามขานรับ ห้ามตัดผมวันพุธ และอื่น ๆ ที่ชวนให้เราหวาดหวั่นไม่น้อย คราวนี้จะมาเล่าความเชื่อแปลกๆ ของคนญี่ปุ่นดูว่าจะคล้ายหรือแตกต่างจากไทยมากขนาดไหน
■ ห้ามเขียนชื่อคนด้วยหมึกสีแดง
บนป้ายหลุมศพญี่ปุ่น หรือ โบะฮิ (墓碑/ぼひ) จะสลักชื่อของผู้ตายด้วยหมึกสีดำและแดงและสีอื่นๆ โดยหมึกสีแดงใช้เขียนที่ใช้ในเขียนชื่อของผู้ตาย สื่อความหมายว่าแม้วิญญาณจะไปสู่สุขติแล้วแต่เขาก็ยังมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ทุกวันนี้การเขียนชื่อคนด้วยหมึกแดงถือเป็นสิ่งอัปมงคลไม่เว้นกระทั่งในการทำธุรกรรมหรือธุรกิจต่าง ๆก็ไม่ควรใช้สีแดง
บทความแนะนำ
■ ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ
ที่ญี่ปุ่นศพจะถูกจัดให้หันหัวไปทางทิศเหนือ ทำให้คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับทิศทางการนอนเหมือน ๆ กับที่เราเลี่ยงการนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะถือเป็นคติว่าทิศตะวันตกคือทิศคนนอนตาย คนญี่ปุ่นก็เชื่อว่าการนอนหันหัวทางทิศเหนือคือทิศคนตายจะทำอายุสั้นและให้โชคร้าย
■ ห้ามเหยียบขอบเสื่อทาตามิ
ตามธรรมเนียมการใช้ห้องแบบญี่ปุ่นที่ปูด้วยเสื่อทาตามิน้ันมักจะเป็นที่ทราบกันดีกว่าห้ามเหยียบขอบเสื่อเพราะเชื่อว่าจะนำโชคร้ายมาสู่ตัว นอกจากนี้บางครอบครัวยังทำตราสัญลักษณ์ของครอบครัวไว้ที่ขอบเสื่อ ดังนั้นการเหยียบขอบเสื่อจึงหมายถึงการเหยียบย่ำบรรพบรุษอีกด้วย เราควรระมัดระวังเรื่องนี้เพื่อให้เกียรติเจ้าของบ้านด้วย
■ ตัวเลขอัปมงคล
ญี่ปุ่นยังมีความเชื่อเรื่องตัวเลขเคราะห์ร้าย ได้แก่ เลข 4 เพราะสี่ หรือ ชิ (四) ในภาษาญี่ปุ่นไปพ้องเสียงกับคำว่า ชิ (死) ที่แปลว่าความตาย อีกเลขอัปมงคลคือ เลข 9 เพราะเก้า หรือ คุ (九) พ้องเสียงกับคำว่า คุ (苦) ที่แปลว่าความเจ็บปวดทรมาน ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงมอบของขวัญให้กันเป็นจำนวน 3 หรือ 5 ชิ้นแทนการให้ 4 ชิ้นหรือ 9 ชิ้น ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในญี่ปุ่น แม้แต่ในเกาหลีใต้ เลข 4 ก็เป็นตัวเลขอัปมงคลเพราะมันคล้ายกับการออกเสียงของความตาย และในตะวันตกนั้น ตัวเลข 13 นั้นถูกหลีกเลี่ยงอย่างกว้างขวางเช่นในโรงแรมก็จะไม่มีชั้น 13 เป็นต้น
■ ห้ามผิวปากตอนกลางคืน
มีความเชื่อเรื่อง "เวลาผิวปากตอนกลางคืน งูจะมา" แต่ความเป็นจริงแล้วงูไม่น่าจะมาเพราะไม่มีหูและไม่สามารถรับรู้เสียงได้และคนในสมัยก่อนเชื่อว่าการผิวปากในตอนกลางคืนจะดึงดูดสิ่งชั่วร้าย นั่นคือ วิญญาณ
■ ซ่อนนิ้วโป้งเวลารถขนศพวิ่งผ่าน
ความเชื่อโชคลางเกี่ยวกับความตาย คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าผู้ตายซึ่งเพิ่งเสียชีวิตยังมีวิญญาณอยู่ และกล่าวกันว่าวิญญาณของคนตายจะบุกรุกและและเข้าสิงทางเล็บนิ้วหัวแม่มือของคนเป็น การที่คุณซ่อนนิ้วโป้งเมื่อคุณเห็นรถบรรทุกศพหมายความว่าเป็นการป้องกันไม่ให้วิญญาณของคนตายเข้ามาสิงร่างคุณได้
■ ห้ามตัดเล็บตอนกลางคืน
ในอดีตสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้า คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าวิญญาณชั่วร้าย หรือ อะคุเรียว (悪霊/あくりょう) จะออกมาเพ่นพ่านในเวลากลางคืน และเชื่อว่าอุปกรณ์ที่ใช้ตัดเล็บในเวลานั้นมีพลังวิญญาณที่เรียกว่า เรเรียวกุ (霊力/れいりょく) ในภาษาญี่ปุ่น ที่สามารถดึงดูดให้วิญญาณเข้ามาหาได้ หรือแม้แต่เชื่อว่าการตัดเล็บกลางคืนจะทำให้ได้รับข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพ่อแม่ แม้ว่าความเชื่อนี้ในปัจจุบันจะถูกลบเลือนไปมากแล้ว แต่ถ้าต้องตัดเล็บตอนกลางคืนระวังด้วยนะ
■ แมวดำ
ในประเทศญี่ปุ่น แมวเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีในฐานะแมวนำโชคมาเป็นเวลานาน ในสมัยเอโดะ เชื่อกันว่าแมวดำมีพลังในการรักษาวัณโรคปอดซึ่งเป็นโรคร้ายแรง แต่มีอีกทฤษฎีหนึ่งมีความเชื่อโชคลางเกี่ยวกับแมวดำว่าเป็นตัวแทนแห่งความโชคร้าย แต่ความเชื่อโชคนี้น่าจะถูกนำเข้ามาจากตะวันตก ดังนั้นถ้าคนเห็นแมวดำ พวกเขาจะหยุดและรอดูว่ามันจะไปทางไหน เพื่อไม่ให้พวกเขาข้ามเส้นทางนั้นจะได้ไม่โชคร้าย
■ สะอึก100ครั้งจะตาย
ในอดีตการศึกษาและการดูแลทางการแพทย์ยังไม่ได้รับการพัฒนา และสาเหตุการตายมักไม่ชัดเจน ปรากฏการณ์การสะอึกถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะไม่สามารถอธิบายได้ เค้าว่ากันว่าอาการสะอึกเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยที่อาจถึงตายได้ และเป็นความเชื่อโชคลางในตำนานญี่ปุ่นว่าเป็นโชคไม่ดี
■ เจอใบโคลเวอร์ 4 แฉกจะโชคดี
เชื่อกันว่าใบโคลเวอร์ เป็นใบไม้แห่งความโชคดี เพราะปกติแล้วใบของต้นโคลเวอร์โดยปกติทั่วไปจะมีเพียง 3 กลีบ ซึ่งว่ากันว่าในต้นโคลเวอร์ 10,000 ต้น จะพบใบโคลเวอร์ 4 กลีบได้เพียงต้นเดียวเท่านั้น โอกาสพบใบโคลเวอร์ 4 กลีบที่สมบูรณ์ จึงเป็นที่เกิดขึ้นได้ยากมาก หากใครสามารถพบเจอมีไว้ครอบครอง เชื่อกันว่าผู้นั้นโชคดีมากๆ ซึ่งเราอาจจะเคยเห็นจากการ์ตูนญี่ปุ่นกันบ่อยๆ
เป็นอย่างไรบ้างกับความเชื่อบางอย่างก็คล้ายกับความเชื่อของบ้านเราเหมือนกันนะ หวังว่าความเชื่อทั้ง 10 ข้อนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้มากขึ้นอีกระดับหนึ่งนะ